วันที่: 2016-11-11 10:40:49.0
เป้าหมายในชีวิตก็เปรียบเหมือนเส้นชัยที่จะทำให้เราก้าวเดินไปสู่มันเพราะถ้าเราไม่มีเป้าหมายเราก็ไม่รู้จะเดินไปทางไหนดี ต่อให้เราเดินเร็วขนาดไหนเราก็จะไม่มีวันถึงเส้นชัยเพราะเมื่อไม่มีเป้าหมายก็ไม่รู้ว่าเส้นชัยอยู่ไหน เผลอๆการเดินเร็วอาจทำให้ห่างไกลจากเป้าหมายด้วยซ้ำหากเรากำลังเดินในทิศที่ตรงข้าม แม้แต่การเดินวนไปวนมาซ้ายทีขวาทีสุดท้ายอาจอยู่กับที่ ถึงแม้เราจะเดินช้าแต่เราจะถึงเส้นชัยแน่นอนถ้าเรามีเป้าหมาย และถ้าเราเดินเร็วเราก็จะถึงเร็วดังนั้นทุกคนต้องมีเป้าหมาย
การค้นหาเป้าหมายนั้นแม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากซะทีเดียว ถ้าใครรู้ว่าตัวเองชอบอะไรและทำอย่างไรจะทำได้ดีก็ถือว่าโชคดีมากเพราะเท่ากับประสบความสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว เป้าหมายของเราอาจเริ่มจากสิ่งเล็กๆ ที่เราทำได้ไม่ยากเท่าไหร่นัก ถ้าทำเสร็จได้ใน1วันก็จะทำให้เรารู้สึกดีและประสบความสำเร็จทุกวัน ซึ่งขอแนะนำให้ทำดู เมื่อเรามีประสบการณ์แห่งความสำเร็จแล้วเราก็ลองมาตั้งเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นตามสิ่งที่มีอยู่ในตัวเราอาจเป็นเป้าหมาย1ปี 3ปีหรือ5 ปีก็ได้
หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า SMART ซึ่งการตั้งเป้าหมายของการทำงานในองค์กรต่างๆก็นิยมใช้กัน
ในบางตำราอาจให้ A แทนAttainable, Agreed หรืออื่นๆและ R แทน Realistic, Reasonable หรืออื่นๆแต่โดยรวม การตั้งเป้าหมายแบบ SMART หมายถึงการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน ถ้าวัดหรือระบุเป็นตัวเลขไม่ได้ก็ต้องรับรู้ได้ เห็นได้หรือสัมผัสได้ว่า อะไรคือความสำเร็จและเชื่อได้ว่าเราสามารถทำให้สำเร็จได้แน่นอนซึ่งเป้าหมายนั้นต้องมีความสำคัญต่อเราและองค์กรตลอดจนส่งผลดีต่อคนอื่นๆเช่นครอบครัว สังคม ถ้าเป้าหมายใหญ่มากก็จะส่งผลได้ใหญ่มากตามไปด้วย หรือมีการขยายวงกว้างไปเรื่อยๆตามความสำคัญและความเกี่ยวข้องกับผู้อื่น สิ่งสำคัญอีกอย่างคือเราสามารถทำให้สำเร็จได้ตามเวลาที่เรากำหนด
ฉันต้องการลดน้ำหนักเป็นเป้าหมายที่ไม่SMARTเราลองมาตั้งเป้าหมายแบบ SMART ด้วยกัน
สมมติว่าเป็นวันที่ 14 ธันวาคม 2556 เป้าหมายของฉัน
ฉันจะลดน้ำหนัก 3กิโลกรัมในวันที่ 14 มกราคม 2557
ถ้าวันที่ตั้งเป้าหมายมีน้ำหนัก 53 กิโลกรัมนั่นหมายความว่า ฉันมีน้ำหนัก50กิโลกรัม ในวันที่ 14 มกราคม 2557
การค้นหาเป้าหมายนั้นแม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากซะทีเดียว ถ้าใครรู้ว่าตัวเองชอบอะไรและทำอย่างไรจะทำได้ดีก็ถือว่าโชคดีมาก เพราะเท่ากับประสบความสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว เป้าหมายของเราอาจเริ่มจากสิ่งเล็กๆที่เราทำ ได้ไม่ยากเท่าไหร่นัก ถ้าทำเสร็จได้ใน1วันก็จะทำให้เรารู้สึกดีและประสบความสำเร็จทุกวัน ซึ่งขอแนะนำให้ทำดู เช่นเราตั้งใจจะอ่านหนังสือ "กลยุทธ์สู่ความสำเร็จ” ซึ่งมีจำนวน 300 หน้า ถ้าปกติเราเป็นคนอ่านหนังสือไม่เร็วนัก อ่านได้ประมาณ30-40หน้าต่อวัน พอเราคิดถึง300 หน้าอาจทำให้เราท้อ ถ้าลองเปลี่ยนใหม่เป็นอ่านวันละ30หน้าเป็นอย่างน้อย ซึ่งเราทำได้อยู่แล้ว ดังนั้นการตั้งเป้าหมายแบบนี้จะทำให้เราสำเร็จทุกวันและภายในเวลาไม่เกิน10วันเราก็จะอ่านหนังสือได้หมดเล่ม การตั้งเป้าหมายแบบนี้นอกจากเราทำสำเร็จ ได้ทุกวันแล้วยังทำให้เราสามารถประสบความสำเร็จในเป้าหมายใหญ่ได้ด้วยเมื่อเรามีประสบการณ์แห่งความสำเร็จแล้ว เราก็ลองมาตั้งเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นตามสิ่งที่มีอยู่ในตัวเรา อาจเป็นเป้าหมาย1ปี 3ปีหรือ5 ปีก็ได้แต่เป้าหมายที่ดีที่สุดของชีวิตก็คือเป้าหมายชีวิต
ตัวอย่างเช่นคุณจะขับรถไปเชียงใหม่โดยที่คุณไม่เคยขับรถไปเลย คุณจะทำอย่างไร ลองเลือกจากคำตอบเหล่านี้ดูนะคะ
1) ขับไปเลย ยังไงก็ถึง เดียวนี้ถนนก็ดีมีป้ายบอกทางอยู่แล้ว
2) ถามใครสักคนที่ขับรถเป็น
3) ถามใครสักคนที่เคยขับรถไปเชียงใหม่มาแล้ว
4) ถามคนที่เคยขับไปเชียงใหม่มาแล้ว เลือกคนที่มั่นใจได้ว่ารู้จักเส้นทางดีและอธิบายให้คุณเข้าใจได้ง่าย
ถ้าคุณเลือกข้อ1
คุณอาจจะถึงและอาจมีหลงทางบ้าง หรือไม่ระหว่างขับก็ขับ ไปด้วยความลังเลอยู่เป็นระยะๆ โดยเฉพาะช่วงที่มีป้ายบอกทางไม่ชัดเจน นั่นหมายความว่าคุณคงต้องเผื่อเวลาไว้ด้วยและคุณคงไม่มีทางที่จะใช้เวลาน้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ถ้าคุณเลือกข้อ2
คุณก็คงไม่มั่นใจในคำตอบอยู่ดีว่า คำตอบที่ได้เป็นคำตอบที่ดีที่สุดหรือไม่ถ้าคนบอกคนนั้นไม่เคยขับรถไปเชียงใหม่ เขาอาจบอกทางผิดก็ได้
ถ้าคุณเลือกข้อ3
คุณมั่นใจได้ว่าคุณคงไม่หลงทางแต่อาจไม่ใช่เส้นทางที่ดีที่สุด
ถ้าคุณเลือกข้อ4 ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
แน่นอนที่สุดการถึงเป้าหมายหรือเส้นชัยได้นั้นคงไม่ใช่การนั่งคิด นอนนึกแต่มันคือการลงมือทำ ทำแล้วก็ทำ และการทำนั้นก็ต้องทำแบบมีกลยุทธ์ที่มั่นใจว่าเราทำสำเร็จได้แน่นอน โดยทั่วไปแล้ววิธีง่ายที่สุดก็คือทำตามคนที่เคยประสบความสำเร็จหรือเรียกว่าคนต้นแบบนั่นเอง ดังตัวอย่างข้างต้นการศึกษาเส้นทางของคนที่ประสบความสำเร็จ ในสิ่งที่เราต้องการและนำข้อมูลเหล่านั้นมาเป็นแนวทางนำเราไปสู่ความสำเร็จ ดูเหมือนจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด บางคนอาจบอกว่าไม่เห็นต้องไปเลียนแบบใครเลยทำเองก็ได้ ก็เป็นวิธีหนึ่งซึ่งทำได้แต่เราอาจต้องลองผิดลองถูกอยู่นานกว่าจะสำเร็จ และยิ่งนานวันเราอาจหมดกำลังใจท้อถอยไปเลยก็ได้ เมื่อเรารู้ว่าเส้นทางที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ทำไมไม่เลือกเดินดังนั้นเราน่าจะลองประยุกต์ 2 วิธีที่ ได้กล่าวมาแล้วเข้าด้วยกันก็ได้ซึ่ง ก็คือการศึกษาความสำเร็จของเราเองในอดีตแล้วนำกลยุทธ์นั้นมาใช้กับเป้าหมายของเราเพื่อนำพาเราไปสู่ความสำเร็จอื่นๆ
เป้าหมายของเราคือเป้าหมายที่มีความหมายต่อชีวิตเรา คิดถึงมันทีไรแล้วรู้สึกตื่นเต้นกระตือรือร้นที่จะทำเป็นความทะยานอยาก ความปรารถนาอย่างแรงกล้าหรือเรียกสั้นๆว่าPassion ซึ่งต้องสอดคล้องกับสิ่งที่เราให้คุณค่ากับมันด้วยหรือเรียกว่าValue เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่คงไม่เกิดผลดีต่อเราคนเดียว มันต้องส่งผลกับคนรอบข้างและสังคมที่เราอยู่ด้วย ยิ่งมีผลมากเท่าใดก็ยิ่งใหญ่มากเท่านั้นนั่นหมายความว่าเราจะถึงเป้าหมายได้เรา ก็ต้องมีความเชื่อและทัศนคติที่สอดคล้องกับเป้าหมายของเราก่อน
เป้าหมายของเรานั้นเราจะไม่มีวันเลิกทำ มีแต่พร้อมที่จะทำนั้นหมายความว่าเราจะทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจเพื่อให้ได้มา โดยไม่คำนึงถึงอุปสรรคใดๆ ซึ่งจะทำให้เราพร้อมที่จะเรียนรู้พร้อมที่จะฝึกฝน แต่การทุ่มเทแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือได้ไม่เท่ากับที่เราทำลงไปคงไม่ใช่วิธีที่ดีนัก ดังนั้นก่อนจะทำอะไรคงต้องมีการวิเคราะห์เพื่อนำมาใช้ในการวางแผนถ้าเป้าหมายที่เราต้องการสัมพันธ์กับสิ่งที่เรามีและตัวตนของเราแล้วมันก็จะช่วยให้เราไปถึงเส้นชัยได้เร็วขึ้น แต่ถ้าตัวตนของเรามีส่วนช่วยให้เราถึงเป้าหมายได้น้อยมากหรือแถบจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย เราคงต้องเหนื่อยแบบสาหัสสากรรณเลยละ ดังนั้นการรู้จักตัวตนของเราก็จะช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น
ถ้าเปรียบความสำเร็จหรือเป้าหมายเป็นเหมือนหญิงสาวที่มีคุณค่า มีความสวยงามเป็นที่หมายปองของคุณ บางครั้งมันอาจดูหยิ่งจองหองเพราะมันจะไม่ก้มหัวให้คุณ ไม่เดินเข้ามาหาคุณ ไม่แม้แต่จะปรับตัวให้คุณเข้าถึงมันได้ง่าย แต่มันก็มีความจงรักภักดีกับคุณอย่างมากๆ เพราะมันจะไม่หนีไปไหน คุณเห็นมันได้เข้าถึงมันได้แน่นอน เพียงแต่คุณต้องรักมันจริงทำทุกอย่างที่จะเดินไปถึงมัน พิสูจน์รักแท้ที่คุณมีให้มัน ถ้าคุณใช้ชีวิตคุณพิสูจน์ ทุ่มเท มุ่งมั่นและพร้อมทำทุกอย่างเพื่อมัน เดินไปหามัน คุณจะได้พบมัน สัมผัสมันอย่างแน่นอนเพราะความสำเร็จหรือเป้าหมายมันไม่เคยหนีคุณไปไหน
|
|
|